การเรียนรู้ของลูกๆของเรานั้นมีลักษณะและสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป การสนับสนุนการเรียนรู้ของลูกของเราควรปรับให้เป็นไปตามความต้องการและสไตล์การเรียนรู้ของเขา จะทำให้ลูกของเราเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในบทความนี้เราจะแนะนำคุณพ่อและคุณแม่ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อเข้าใจสไตล์การเรียนรู้ของลูกและสนับสนุนการเรียนรู้ของลูกให้เป็นไปตามความต้องการ
การสนับสนุนการเรียนรู้ของลูกของเรา ควรจะเน้นที่จะส่งเสริมความเชี่ยวชาญที่เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในอนาคตและเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง เมื่ออ่านบทความนี้จนจบคุณจะค้นพบว่าลูกของคุณเป็นสไตล์การเรียนรู้แบบใด และจะทำอย่างไรเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของลูกให้เป็นไปตามเป้าหมาย
สารบัญ
สไตล์การเรียนรู้แบบสัมผัส << คลิ๊ก
สไตล์การเรียนรู้แบบส่อง << คลิ๊ก
สไตล์การเรียนรู้แบบฟัง << คลิ๊ก
สรุป << คลิ๊ก
1. สไตล์การเรียนรู้แบบสัมผัส
(Kinesthetic Learning Style)
เป็นสไตล์การเรียนรู้ที่ต้องการการเคลื่อนไหวและการมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเรียนรู้และจดจำข้อมูลได้ดีกว่าการนั่งฟังหรืออ่านข้อมูลอย่างเดียว โดยลูกที่มีสไตล์การเรียนรู้แบบกิจกรรมจะชอบการเรียนรู้ด้วยการทำโครงการ การเคลื่อนไหวหรือเล่นเกม
โดยสิ่งที่สำคัญในการสอนลูกที่มีสไตล์การเรียนรู้แบบกิจกรรมคือการเปิดโอกาสให้ลูกได้ทดลองและสัมผัสสิ่งต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้และจดจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เล่นเกมที่ใช้การเคลื่อนไหว: ให้ลูกเล่นเกมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหว เช่น เกมแข่งรถ การกระโดดเชือก หรือเกมตีกอล์ฟ เป็นต้น
- การออกกำลังกาย: ให้ลูกออกกำลังกายเพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจ โดยการเล่นกีฬาหรือการทำโยคะ เป็นต้น
- การทดลอง: ให้ลูกทดลองสิ่งต่างๆ เพื่อเรียนรู้ เช่น การทดลองผสมสี การทดลองทำอาหาร หรือการทดลองเลือกใช้วัสดุต่างๆ เป็นต้น
- การเล่นดนตรีหรือการร้องเพลง: ให้ลูกเรียนรู้ดนตรีหรือการร้องเพลง โดยให้ลูกทำความรู้จักกับเครื่องดนตรี หรือเรียนรู้เพลงโดยใช้ตัวอักษร แล้วฝึกฝนการเล่นหรือร้องเพลง
- การเขียนโดยใช้มือ: ให้ลูกเขียนโดยใช้มือ เช่น การเขียนหนังสือ การวาดรูป เป็นต้น โดยการเขียนโดยใช้มือจะช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้แบบกิจกรรมได้ดีเพราะช่วยส่งเสริมการจดจำและการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ของลูก เมื่อลูกเข้าใจเนื้อหาและสามารถฝึกฝนได้ด้วยวิธีที่ตนเองชอบและถนัด มักจะเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การสร้างสิ่งของ: ให้ลูกสร้างสิ่งของต่างๆ เช่น การเย็บผ้า การเย็บตุ๊กตา หรือการสร้างของประดิษฐ์ เป็นต้น
- การเรียนรู้ผ่านการเตรียมอาหาร: ให้ลูกเรียนรู้การเตรียมอาหาร ด้วยกิจกรรมที่ใช้กำลังสัมผัส เช่น การทำคุ้กกี้ การทำพิซซ่า หรือการทำขนมปัง เป็นต้น
- การทำงานฝีมือ: ให้ลูกเรียนรู้การทำงานฝีมือต่างๆ เช่น การสังเคราะห์เครื่องปั้นดินเผา การเลียนแบบเครื่องมือของคนโบราณ เป็นต้น
2. สไตล์การเรียนรู้แบบส่อง
(Visual Learning Style)
สไตล์การเรียนรู้แบบส่อง เป็นการเรียนรู้ที่ใช้การมองเห็นเป็นหลัก ทำให้ลูกของคุณสามารถจดจำได้ดีกับภาพ หรือแผนผัง ดังนั้นวิธีการสนับสนุนการเรียนรู้ของลูกที่มีสไตล์การเรียนรู้แบบส่อง คือ
- การวาดรูปภาพ: ให้เด็กวาดภาพเพื่ออธิบายเนื้อหาที่เรียน โดยใช้สีสันและรายละเอียดต่างๆ เพื่อเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น
- การใช้แผนที่ความคิด (Mind Map): ให้เด็กวาดแผนที่ความคิดของเขาเพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจแนวคิดหลักของเนื้อหาที่เรียนได้ง่ายขึ้น
- การใช้สื่อการสอน: ให้เด็กชมภาพหรือวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน เพื่อช่วยให้เข้าใจและจดจำเนื้อหาได้ดีขึ้น
- การอ่านและเขียน: ให้เด็กอ่านหนังสือและเขียนบทความเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน
- การเล่นเกมทางการศึกษา: ให้เด็กเล่นเกมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน
- ศึกษาผ่านแผนที่: ให้เด็กศึกษาแผนที่เพื่อช่วยในการเข้าใจเนื้อหา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ สามารถใช้แผนที่ในการศึกษาวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ หรือการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ
คลิ๊กลิ้งค์ด่านล่าง
(และ คณิตศาสตร์ โซนใกล้เคียง)
( สายไหม รังสิต สุขาภิบาล 5)
3. สไตล์การเรียนรู้แบบฟัง
(Auditory Learning Style)
สไตล์การเรียนรู้แบบฟัง คือการเรียนรู้ที่ใช้การฟังเป็นหลัก ทำให้ลูกของคุณสามารถจดจำได้ดีกับเสียง ดังนั้นวิธีการสนับสนุนการเรียนรู้ของลูกที่มีสไตล์การเรียนรู้แบบฟัง คือ
- การอ่านหนังสือออกเสียง: ผู้ปกครองสามารถอ่านหนังสือให้เด็กฟังเพื่อเสริมสร้างทักษะการฟังและความจำ นอกจากนี้ยังช่วยในการปรับปรุงทักษะการอ่านของเด็กด้วย
- การฟังเสียงบทสนทนา: ให้เด็กฟังบทสนทนาหรือบทความต่าง ๆ เช่น บทความข่าว นิยาย หรือรายการพอดแคสต์โดยให้เด็กตอบคำถามหลังฟังเสียงเพื่อเสริมสร้างทักษะการฟังและการตอบคำถาม
- การเข้าร่วมกิจกรรมเพลง: ให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมเพลง เช่น ร้องเพลง ฟังเพลง หรือเรียนรู้เครื่องดนตรี เพราะกิจกรรมดังกล่าวช่วยเสริมสร้างทักษะการฟังและความสนใจในเพลง
- การเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อต่าง ๆ: ให้เด็กเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านวิดีโอบน YouTube หรือแอปพลิเคชันการเรียนภาษา ซึ่งช่วยเสริมสร้างทักษะการฟังและพูดภาษาอังกฤษของเด็ก
สรุป
เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ การเรียนรู้แบบที่เหมาะสมสำหรับลูกของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าลูกของคุณจะมีสไตล์การเรียนรู้แบบใด สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่การสนับสนุนและส่งเสริมให้ลูกมีแรงบันดาลใจและความอดทนในการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการที่เหมาะสมกับลูกของคุณ
อย่างไรก็ตาม จำไว้ว่าสไตล์การเรียนรู้ของลูกอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงเวลาและสภาพความต้องการ ดังนั้นคุณควรเป็นผู้ที่สังเกตและติดตามการเรียนรู้ของลูกตลอดเวลา เพื่อเป็นประโยชน์แก่การสนับสนุนการเรียนรู้ของลูกในระยะต่อไป
SE-ED Learning Center สาขาอื่นๆ
จะมีทั้งหมดประมาณ 20 สาขา ทั่วประเทศ