เด็กเป็นกลุ่มที่ร่างกายและจิตใจยังอยู่ในช่วงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะซึมเศร้าในเด็ก ก็อาจมีผลกระทบต่อการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า ?
ในบทความนี้ จะพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าในเด็ก อาการแสดงที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ วิธีการป้องกันและรักษา เพื่อช่วยให้ลูกได้กลับมาสดใสและมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
สารบัญ
ปัจจัยที่ส่งผลให้ลูกเป็นโรคซึมเศร้า << คลิ๊ก
สังเกตุอาการ << คลิ๊ก
ลดความเสี่ยง และ วิธีการรักษา << คลิ๊ก
สรุป << คลิ๊ก
ปัจจัยที่ส่งผลให้ลูกเป็นโรคซึมเศร้า
ลูกเป็นโรคซึมเศร้า เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แบ่งเป็น 2 ปัจจัยหลักๆ ได้เป็น ปัจจัยทางพันธุกรรม และ ปัจจัยอื่นๆ ดังนี้
1. ปัจจัยพันธุกรรม: โรคซึมเศร้ามีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม
การวิจัยพบว่า การมีญาติที่มีประวัติการเป็นโรคซึมเศร้ามีความเสี่ยงที่จะสืบต่อกันทางพันธุกรรม ดังนั้นเด็กที่มีบุคคลในครอบครัวที่เคยเป็นโรคซึมเศร้ามีโอกาสที่จะเป็นโรคเหล่านี้มากกว่าเด็กที่ไม่มีประวัติ
ดังนั้นหากเราสงสัยว่าลูกเป็นโรคซึมเศร้า แล้วก็ควรสืบหาว่าในครอบครัวมีใครเป็นหรือไม่ หากมีก็จะหมายความว่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นสูงขึ้น จะได้ระมัดระวังมากขึ้น
ความสัมพันธ์กับความผิดปกติในการทำงานของสารเคมีในสมอง โดยเฉพาะสารเคมี serotonin ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และอารมณ์หงุดหงิด นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันอื่นๆ เช่น ควบคุมการหลับ การรับประทานอาหาร และการควบคุมการประสาทกล้ามเนื้อ
นั่นหมายความว่า การมีความผิดปกติในการทำงานของสารเคมีในสมองอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้ลูกเป็นโรคซึมเศร้าได้ และความผิดปกติเหล่านี้สามารถส่งต่อได้ทางพันธุกรรม
2. ปัจจัยอื่นๆ (จิตวิทยา สังคม พฤติกรรม และ สิ่งแวดล้อม) ที่เป็นสาเหตุให้ลูกเป็นโรคซึมเศร้า เช่น
- ปัญหาครอบครัว: เด็กที่มีปัญหาครอบครัว เช่น พ่อแม่หย่าร้าง ทางบ้านขาดแคลน การเลี้ยงลูกที่ไม่เหมาะสม หรือการใช้พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเด็ก
- ความเครียดและความกดดัน: เด็กที่ได้รับความเครียดและความกดดันจากการศึกษา การเข้าร่วมกิจกรรมหลายอย่าง หรือปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อน อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้
- ปัจจัยทางสังคม: เด็กที่มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร หรือการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น ที่ไม่ดีอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเด็ก
- การเผชิญหน้ากับปัญหา: เด็กที่ไม่สามารถเผชิญหน้ากับปัญหาได้ดี หรือไม่มีทักษะในการแก้ไขปัญหาอาจทำให้เกิดความเครียดและทำให้ลูกเป็นโรคซึมเศร้า
- การถูกกลั่นแกล้ง หรือการเลือกปฏิบัติต่อเด็กอย่างไม่เหมาะสมจากผู้ใหญ่ในสังคมอย่างเช่น การกดดันให้เรียนเยอะเกินไป หรือการตัดสินใจในเรื่องส่วนตัวของเด็กโดยไม่คำนึงถึงความต้องการของเด็ก
- การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของเด็ก เช่น การย้ายบ้านหรือโรงเรียน อาจทำให้เด็กรู้สึกเหงาหรือไม่มั่นคง และมีโอกาสเสี่ยงที่ทำให้ลูกเป็นโรคซึมเศร้าสูงขึ้น
- การแต่งงานของบิดา-มารดา หรือการเลิกกันของพ่อแม่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็กได้
สิ่งเหล่านี้ล้วนอาจทำให้เด็กเกิดความกดดันและส่งผลให้ ลูกเป็นโรคซึมเศร้า ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองควรให้เวลา ให้ความรักและความอบอุ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงการให้เด็กมีเวลาเล่นและสังสรรค์กับเพื่อนร่วมวัยในสังคมอย่างเหมาะสม
SE-ED Learning Center สาขาอื่นๆ
จะมีทั้งหมดประมาณ 20 สาขา ทั่วประเทศ
สังเกตุอาการเมื่อลูกเป็นโรคซึมเศร้า
อาการเริ่มต้นที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้คือ
- การกินหรือนอนไม่ดี: ลูกอาจไม่สนใจการกินอาหารหรือทานอาหารเท่าที่ควร หรือนอนมากหรือน้อยเกินไป
- การหลีกเลี่ยงกิจกรรม เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม: ลูกอาจไม่สนใจกิจกรรมที่เคยชื่นชอบและไม่อยากออกไปเล่นนอกบ้านเหมือนก่อนหน้า
- อารมณ์เสียใจหงุดหงิดและความโกรธ: ลูกอาจแสดงอาการโกรธหรือหงุดหงิดอยู่เป็นระยะเวลานานๆ โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
เมื่อพบอาการเหล่านี้ ที่รุนแรงและบ่อยขึ้น จนมีผลกระทบต่อการทำกิจกรรมทั่วไปและการเรียนรู้ของเด็ก มีความเป็นไปได้ว่า ลูกเป็นโรคซึมเศร้า แล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มพบแพทย์และขอคำปรึกษา
สัญญาณอาการที่อันตรายที่สุดคือ เมื่อเด็กมีความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย หรือมีแนวโน้มที่จะทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น ควรหมั่นพูดคุยและให้เวลากับลูกมากๆ
คลิ๊กลิ้งค์ด่านล่าง
(และ คณิตศาสตร์ โซนใกล้เคียง)
( สายไหม รังสิต สุขาภิบาล 5)
ลดความเสี่ยงเพื่อไม่ให้ลูกเป็นโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าในเด็กไม่ใช่สิ่งที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่ผู้ปกครองสามารถทำได้หลายวิธีเพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกเป็นโรคซึมเศร้าและช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตใจของลูกได้ ดังนี้
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก: การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเปิดกว้างกับลูกจะช่วยสร้างความสบายใจและเป็นกำลังใจให้กับลูก การเล่าเรื่องราวหรือให้คำปรึกษาแก่ลูกในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความเข้าใจและสัมพันธ์ที่ดีกับลูกอีกด้วย
- ส่งเสริมการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสม: การเล่นกิจกรรมที่เหมาะสมสามารถช่วยเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ของลูก ทั้งนี้ ผู้ปกครองควรดูแลและส่งเสริมให้ลูกมีโอกาสได้เล่นและเรียนรู้จากกิจกรรมต่างๆอย่างเพียงพอ
- ส่งเสริมการพัฒนาทักษะสังคมและอารมณ์: การส่งเสริมการพัฒนาทักษะสังคมและอารมณ์ให้กับลูกจะช่วยลูกเรียนรู้ทักษะการสื่อสารและการจัดการอารมณ์ที่เหมาะสม
แนวทางการรักษาเมื่อพบแพทย์เมื่อลูกเป็นโรคซึมเศร้า
การรักษาโรคซึมเศร้าในเด็กต้องเป็นการผสมผสานระหว่างการรักษาด้วยยาและการรักษาด้วยวิธีการทางจิตวิทยา โดยสามารถทำได้ตามแนวทางดังนี้
- การรับประทานยา: แพทย์จะสั่งยาให้เด็กเพื่อช่วยลดอาการซึมเศร้า โดยมักจะใช้ยาตัวอื่นๆที่ใช้ในการรักษาโรคซึมเศร้าในผู้ใหญ่ เช่น ซีตาโลแพรม, ฟลูออกซีติน ฯลฯ โดยต้องให้ยาตามคำแนะนำของแพทย์และติดตามอาการเด็กเพื่อปรับยาให้เหมาะสม
- การเข้าร่วมโปรแกรมการรักษาทางจิตวิทยา: เด็กที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะมีอาการที่มากกว่าแค่อารมณ์เสีย อาจมีปัญหาเรื่องการเรียนรู้ สัมผัสทางสังคม ความคิดเห็นเชิงลบต่อตนเองและอื่นๆ
ดังนั้นการเข้าร่วมโปรแกรมการรักษาทางจิตวิทยาจะช่วยให้เด็กได้รับการดูแลและให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ เช่น การจัดกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในตนเอง การพูดคุยทางจิตวิทยาเพื่อช่วยลดความกังวล การเรียนรู้ทักษะการจัดการอารมณ์ เป็นต้น
- การปรับเปลี่ยนการดูแลเด็กสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการสื่อสารและการจัดการที่เหมาะสมกับเด็ก หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมและทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายใจ
การช่วยเหลือเด็กในการแก้ไขปัญหาและการดูแลเด็กอย่างเหมาะสมเมื่อเกิดอุปสรรค การปรับเปลี่ยนการดูแลเด็กเป็นกระบวนการที่ต้องมีความอดทนและความสำเร็จของผลลัพธ์อาจใช้เวลานาน
สรุป
การเป็นโรคซึมเศร้าในเด็กเป็นเรื่องที่ไม่ควรถูกละเลย เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของลูกและครอบครัวโดยรวม การตระหนักในสาเหตุของโรคซึมเศร้าในเด็ก และการรับมือด้วยการติดตามพฤติกรรมและอารมณ์ของลูกเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงการที่ลูกเป็นโรคซึมเศร้า
แต่หากพยายามป้องกันอย่างดีที่สุดแล้วยังพบว่าลูกของเรามีอาการต่างๆ ดังที่กล่าวมาก็ควรรีบพบแพทย์เพื่อปรึกษา แนวทางการรักษา ลูกเป็นโรคซึมเศร้ารักษาได้ ลูกจะได้กลับมามีความสุขและสนุกไปกับการใช้ชีวิตได้เช่นเดิม